Share

การถ่ายภาพทางเทคนิคกับการวิเคราะห์ภาพเขียน

Last updated: 5 May 2025
249 Views
การทำงานในห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์งานศิลปะมีความเหมือนกับการทำงานในห้องห้องปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่ต้องมีการวางแผน การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม มีการวิเคราะห์ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่ข้อสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมากซึ่งอาจจากการทำงานทั่วไปคือเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้เพื่อการวิเคราะห์งานศิลปะต้องเป็นเทคนิคที่ไม่แตะต้องหรือทำลายงานศิลปะอันอันล้ำค่าเหล่านั้น ในกรณีที่จำเป็นต้องเก็บหรือทำลายตัวอย่างก็ต้องเก็บตัวอย่างในปริมาณที่น้อยที่สุด

หลายสาขาวิชาทั้งกลุ่มเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการตรวจสอบงานศิลปะได้ทั้งสิ้น ทั้งภาพวาด งานประติมากรรม รวมไปถึงการวิเคราะห์วัสดุที่ใช้ในการสร้างสรรค์งานศิลปะเหล่านั้น

บทความตอนนี้อยากเล่าเกี่ยวกับเทคนิคทางภาพซึ่งเป็นการถ่ายภาพด้วยอุปกรณ์และวิธีการต่างๆ กันเพื่อให้ได้ผลของภาพที่แตกต่างกัน

ทั้งนี้การถ่ายภาพมักจะเป็นวิธีการแรกๆ ที่ใช้ในการเริ่มต้นการวิเคราะห์งานศิลปะ เนื่องจากเป็นวิธีการที่ไม่ต้องทำลายหรือแตะต้องชิ้นงานเลย และยังสามารถประยุกต์ใช้เทคนิคย่อยๆ ได้อีกหลายๆ วิธี เพื่อให้ได้ผลของภาพที่แตกต่างกัน

อย่างที่เราทราบกันว่าโดยทั่วไปแล้วการถ่ายภาพจะใช้กล้องถ่ายภาพธรรมดาหรือแม้แต่กล้องมือถือก็ได้ ภาพถ่ายธรรมดา ถ่ายภายใต้สภาวะแสงที่ตามองเห็นหรือที่เรียกว่าแสงขาว (Visible Light) คือแสงที่มีช่วงความยาวคลื่นประมาณ 400-700 นาโนเมตร ผลของการถ่ายภาพแบบนี้คือได้ภาพแบบที่ตามอง ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการวิเคราะห์และเก็บข้อมูลของงานศิลปะ ในห้องปฏิบัติการจึงมีการถ่ายภาพที่เรียกว่าการถ่ายภาพทางเทคนิค (Technical Photography) คือใช้กล้องถ่ายรูปที่ผ่านการดัดแปลงอธิบายง่ายๆ คือกล้องยอมให้แสงยูวีและอินฟราเรดสามารถผ่านเข้าไปในกล้องได้ นอกจากกล้องที่ต้องผ่านการดัดแปลงแล้วยังจะต้องใช้แหล่งแสง (Light sources) ที่แตกต่างไปจากแสงขาวปกติ ช่วงความยาวคลื่นแสงสำคัญที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์งานศิลปะคือยูวี (UV, ultraviolet) และอินฟราเรด (IR, Infrared)

แสงยูวีมีความยาวคลื่นที่สั้นกว่าที่ตามนุษย์มองเห็น ความยาวคลื่นที่ประมาณ 365 นาโนเมตรเป็นช่วงที่เหมาะสมกับการใช้งาน ถ้าความยาวคลื่นสั้นไปกว่านี้มากก็ไม่ดีเพราะส่งผลอันตรายต่อผู้ใช้งาน  ด้วยหลักการที่ว่าวัตถุมีการเรืองแสงยูวีที่แตกต่างกัน มันจึงมีประโยชน์อย่างยิ่งในการเปิดเผยในกรณีที่ภาพเขียนนั้นๆ ผ่านการบูรณะซ่อมแซมมา หลายครั้งทีเมื่อเรามองภายใต้สภาวะแสงขาวปกติ ทุกอย่างดูสมบูรณ์สวยงาม แต่ภายใต้แสงยูวีอาจจะดูแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง 
หลักการที่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ คือบริเวณที่ซ่อมแซมหรือรีทัสมาเรืองแสงยูวีไม่เท่ากับบริเวณดั้งเดิมของภาพ ผลของภาพที่ได้จึงไม่เหมือนกัน เราจึงเห็นบริเวณที่รีทัชหรือซ่อมแซมมาเป็นสีดำมากกว่าบริเวณดั้งเดิม นอกจากแสงยูวีจะช่วยตรวจสอบบริเวณที่เคยผ่านการซ่อมแซมหรือรีทัชมาก่อนหน้าแล้ว สารสี (pigments) บางตัวก็เรืองแสงยูวีอย่างมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ทำให้เราสามารถบอกชนิดของสารสีๆ นั้นได้ด้วยเช่นกัน
การค้นพบความจริงว่าภาพเขียนถูกซ่อมแซมหรือรีทัชมาแล้ว สำหรับนักวิทยาศาสตร์ถือเป็นข้อมูลที่สำคัญในการวิเคราะห์ต่อไปว่าวัสดุที่ใช้กับงานนั้นๆ ว่าบริเวณไหนเป็นวัสดุดั้งเดิมหรือวัสดุที่เติมลงไปในภายหลัง และข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นประโยชน์ต่อนักอนุรักษ์งานศิลปะ

กรณีของรังสีอินฟราเรดนั้นเป็นความยาวคลื่นยาวกว่าที่ตามนุษย์มองเห็น มีประโยชน์ในการนำมาค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ชั้นสี อินฟราเรดจะเปิดเผยลายเส้นร่าง หรือลายเซ็นที่แอบซ่อนอยู่ใต้ชั้นสี วัสดุที่เป็นกราไฟท์หรือคาร์บอนตอบสนองได้ดีต่อรังสีอินฟราเรด

นอกจากการเลือกใช้แหล่งแสงที่พิเศษนอกเหนือจากแสงขาวที่ตาคนมองเห็นแล้ว การถ่ายรูปภายใต้สภาวะแสงขาวปกติแต่เปลี่ยนองศาในการให้แสงส่องลงบนวัตถุก็ให้ผลที่แตกต่างออกไปได้ เทคนิคที่นิยมมากในการวิเคราะห์ภาพเขียนคือการใช้แสงเฉียง (Raking light) ซึ่งเป็นการวางแสงเฉียงกับวัตถุ (อย่างเช่นภาพเขียน) ที่ประมาณ 5-20 องศา ภาพถ่ายแสงเฉียงจะเปิดเผยให้เห็นผิวขรุขระ หรือทีแปรงที่ชัดเจน

เวปไซด์ Ohvincent.com เคยเผยแพร่ภาพเขียนที่ชื่อว่า Farmhouse with Barn and Well ของวินเซนต์ แวน โก๊ะ ที่ถูกถ่ายด้วยเทคนิคต่างๆ ทั้งยูวี อินฟราเรด แสงเฉียง รวมถึงการเอ็กซ์เรย์ ซึ่งแต่ละเทคนิคได้เปิดเผยรายละเอียดของภาพแตกต่างกัน ซึ่งได้รวบรวมนำมาไว้ในโพสต์นี้

คราวหน้าจะเล่ารายละเอียดของแต่ละภาพที่ได้จากแต่ละเทคนิคค่ะ

"ขอบคุณภาพจาก ohvincent.com"

#วิทยาศาสตร์กับบทบาทเบื้องหลังงานศิลปะ#thesciencebehindartSee less

Related Content
ภาพถ่ายอินฟราเรดและการเผยความลับใต้ชั้นสี
ในขณะที่นักสืบต้องคอยติดตามเบาะแสเพื่อไขปริศนาคดีต่างๆ  นักวิทยาศาสตร์และนักอนุรักษ์งานศิลปะก็มีงานสำคัญที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือการวิเคราะห์ศิลปวัตถุ ไม่เพียงแต่เพื่อศึกษาเกี่ยวกับวัสดุและตระเตรียมวิธีการดูแลรักษา แต่ยังเพื่อไขคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ หรือเพื่อค้นหาความลับในระหว่างการสร้างสรรรค์ผลงานทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจของศิลปิน หนึ่งในเทคนิคที่ถูกนำมาใช้เพื่อการนี้ คือการถ่ายภาพอินฟราเรด ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยเปิดเผยข้อมูลที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
1 Jun 2025
หญิงสาวกับต่างหูมุก Girl with a Pearl Earring (c. 1665) และภาพถ่ายการเรืองแสงยูวีหลังจากการบูรณะ
ภาพหญิงสาวกับต่างหูมุก Girl with a Pearl Earring (c. 1665) ซึ่งเป็นภาพวาดสีน้ำมัน ขนาด 44.5 × 39 เซนติเมตร อันแสนโด่งดัง ซึ่งคาดว่า Johannes Vermeers วาดขึ้นในปี 1665 ภาพนี้ถูกแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Mauritshuis ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์ มีการบูรณะซ่อมแซมครั้งล่าสุดในปี 1994 โดยภายหลังการบูรณะ นักอนุรักษ์และนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการถ่ายภาพทางเทคนิค (Technical Photography) ซึ่งรวมเอาการถ่ายการเรืองแสงยูวี (UVF, Ultraviolet fluorescence) ไว้ด้วย จะเห็นว่าภาพทางขวาซึ่งเป็นภาพถ่ายภายใต้สภาวะแสงยูวี มีการเรืองแสงยูวีของชั้นวานิชเรซินธรรมชาติเป็นสีเขียว และพื้นที่ที่ได้รับการซ่อมแซมสามารถแยกแยะจากสีเดิมได้อย่างชัดเจนเนื่องจากปรากฏเป็นสีดำเข้มกว่า
18 May 2025
The Schoolboy - แวนโก๊ะใช้สีอะไรบ้างเขียนภาพนี้
ภาพเด็กผู้ชายสวมเสื้อสีฟ้าบนพื้นหลังสีแดงส้มที่มีชื่อว่า "The schoolboy" ซึ่งแวนโก๊ะเขียนภาพนี้ในปี 1888 ในช่วงที่เขาอาศัยอยู่ในอาร์ลส์ สงสัยมั๊ยว่าแวนโก๊ะ ใช้สีอะไรบ้างในการเขียนภาพนี้
11 May 2025
This website uses cookies for best user experience, to find out more you can go to our Privacy Policy and Cookies Policy
Compare product
0/4
Remove all
Compare
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy